Home new “EV เป็นวาระแห่งชาติ เป็นโอกาสของทั้งประเทศ ภาครัฐต้องสนับสนุนให้เกิดการลงทุน...”
“EV เป็นวาระแห่งชาติ เป็นโอกาสของทั้งประเทศ ภาครัฐต้องสนับสนุนให้เกิดการลงทุน...”
PongPang 18.1.66 0
พูนพัฒน์ โลหารชุน
ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อีโวลท์ เทคโนโลยี จำกัด (Evolt Technology)
ตั้งแต่ช่วงกลางปีต่อเนื่องถึงสิ้นปี 2565 เชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่คงคุ้นชินกับตัวเลขอัตราการเติบโตของยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าใหม่
ที่พุ่งทยานกว่า 200% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวของปีก่อน
อัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดดดังกล่าวไม่ได้เป็นเรื่องน่าประหลาดใจสำหรับคนในแวดวงยานยนต์ไฟฟ้า
เพราะเป็นสิ่งที่คาดการณ์เอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่าธุรกิจ EV เป็นเทรนด์รักษ์โลก
หรือ E-Mobility
Ecosystem ที่กำลังจะมาแรง
สภาพตลาดรถอีวีที่พุ่งแรงในช่วงนี้เป็นผลมาจากมาตรการสนับสนุนของภาครัฐ
และการเข้าทำตลาดไทยอย่างเต็มตัวของค่ายรถไฟฟ้ายักษ์ใหญ่ระดับโลกอย่างบีวายดี
และเทสลา
ตัวเลขยอดจองที่ประกาศว่าทะลุหลักหมื่นคันของทั้ง 2 ค่าย
ทำให้หลายคนกังวลถึง Infrastructure โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของสถานีชาร์จที่มีอยู่ในปัจจุบันว่าจะเพียงพอหรือไม่?
ความพร้อมในด้านสถานีชาร์จคงไม่มีใครยืนยันหรือให้ความเชื่อมั่นได้ดีเท่าผู้ประกอบการในธุรกิจนี้
แน่นอนว่า คุณพูนพัฒน์ โลหารชุน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อีโวลท์
เทคโนโลยี จำกัด (Evolt Technology) ผู้บุกเปิกธุรกิจนี้มาตั้งแต่ปี 2560
ด้วยการมีพนักงานเพียง 1 คน จนปัจจุบันมีพนักงานเพิ่มขึ้นเป็น 70 คน
จะเป็นผู้ยืนยันความพร้อมของธุรกิจ EV Charging Station ได้เป็นอย่างดี
-วิเคราะห์สถานการณ์พลังงานทางเลือกในปัจจุบัน และแนวโน้มการเติบโตของตลาดรถยนต์ไฟฟ้า
(EV)
การเติบโตของรถไฟฟ้าปัจจุบันถ้าดูตัวเลขถึงเดือนสิบ ปี 2022
ข้อมูลของสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย (EVAT) มีรถยนต์ไฟฟ้าล้วน หรือ BEV จดทะเบียนประมาณ
11,000 คัน รถปลั๊กอินไฮบริด PHEV ประมาณ 40,000 คัน
ถือว่ามีการเติบโตก้าวกระโดดมาจากต้นปี เพราะมีค่ายรถยนต์ใหม่ๆ
เข้ามาสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับตลาดเยอะ
การเติบโตของรถไฟฟ้าขึ้นอยู่กับการมีรุ่นรถยนต์ไฟฟ้าออฟเฟอร์ให้กับผู้บริโภคมากพอ
ถ้าผู้บริโภคมีตัวเลือกมากเท่าไหร่ ก็มีอัตราการเติบโตที่สูงขึ้น
การมีแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าสองค่ายที่ใหญ่ที่สุดของโลกเข้ามาทำตลาดช่วงปลายปี
ยิ่งสร้างความตื่นตัวและอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน แต่ตอนนี้ฐานผู้ใช้รถอีวีในไทยยังต่ำ
อัตราการเติบโตปีละ 100-200% ถือเป็นเรื่องธรรมดา
-ตัวเลขจดทะเบียนและยอดจองรถยนต์ไฟฟ้าที่สูงขึ้น ไม่ทราบว่าจำนวนสถานีชาร์จตอนนี้มีเพียงพอหรือไม่
ก่อนหน้านี้สถานีชาร์จมีจำนวนไม่มากนัก
แต่ก็มีอัตราเติบโตเป็นดับเบิ้ลทุกปี ดูจากข้อมูลวิจัยแล้ว ในประเทศไทยตัวเลขที่เหมาะสมคือ
0.1 ทราฟฟิคสเตชั่นรถไฟฟ้าหนึ่งคัน หรือเทียบจากรถ 10 คันต่อทราฟฟิคสเตชั่น
เพราะฉะนั้นตัวเลขนี้จะสูงต่ำขึ้นอยู่กับวิถีชีวิตของคนแต่ละประเทศ บางประเทศอาศัยอยู่ตามบ้านเรือน
บางประเทศอยู่ตามคอนโด อัตราสถานีชาร์จจึงแตกต่างกัน อย่างในไทย อัตราที่เหมาะสมคือ
0.1 ฉะนั้นถ้าจำนวนรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้น
อินฟรานสเตชั่นที่รองรับต้องเพิ่มขึ้นตามอัตราประมาณนี้ คือ 0.1
-ตอนนี้สถานีชาร์จที่มีอยู่มีจำนวนที่เหมาะสมหรือยัง
ตอนนี้สถานีชาร์จมี 2,500 หัวจ่าย
เป็นตัวเลขอัพเดทเมื่อเดือนกันยายนของปีที่ผ่านมา เทียบกับรถไฟฟ้าที่มีอยู่ 11,000
คัน ถ้าดูตามสัดส่วนถือว่าเหมาะสม รองรับจำนวนรถที่มีอยู่ในปัจจุบันได้ แต่ถ้าจำนวนรถเพิ่มขึ้น
สถานีชาร์จต้องเติบโตตามแน่นอน จำนวนสถานีชาร์จต้องโตควบคู่กับปริมาณรถยนต์ไฟฟ้า
-แสดงว่าในเชิงธุรกิจ ยังมีอนาคตอีกเยอะ ขยายตัวได้อีกมหาศาล
ส่วนของสถานีชาร์จยังขยายตัวได้อีกมาก ในเชิงธุรกิจ 80% จะชาร์จที่บ้าน
ฉะนั้นโอกาสทางธุรกิจโฮมชาร์จเจอร์ถือเป็นโอกาสที่ใหญ่มากๆ
จะมีมาร์เก็ตแคปใหญ่มากๆ ในเชิงธุรกิจ ไม่ใช่แค่รถพาสเซนเจอร์คาร์ และรถส่วนบุคคล
ยังมีรถสาธารณะที่สามารถเปลี่ยนเป็นรถไฟฟ้าได้ เพราะฉะนั้นก็จะเป็น opportunity เป็นโอกาสหนึ่งที่ค่อนข้างใหญ่สำหรับ
ภาคขนส่ง ราคาน้ำมันมีการขึ้นลง และนับวันจะมีราคาสูงขึ้น
ทำให้การควบคุมต้นทุนค่าขนส่งทำได้ยากขึ้น ไฟฟ้าเป็นตัวตอบโจทย์
เพราะมีการคงราคาไว้ ระยะ 3 ปี 5 ปี ให้สอดคล้องกับการเติบโตของอุตสาหกรรม
ฉะนั้นถ้าใช้รถไฟฟ้าจะควบคุมต้นทุนได้ง่ายกว่า เมื่อราคาพลังงานต่อกิโลเมตรต่ำกว่า
ต้นทุนของค่าขนส่งย่อมลดลง
-รถยนต์ไฟฟ้ามีต้นทุนค่าพลังงานต่อกิโลเมตรอยู่ที่เท่าไหร่
ถ้าเป็นรถขนาดเล็ก รถส่วนบุคคล ต่อกิโลเมตรอยู่ที่ 50 สตางค์ ขณะที่รถใช้น้ำมันต้นทุนพลังงานอยู่ที่ประมาณ
2-3 บาท/กิโลเมตร มีความแตกต่างที่ชัดเจน
ยิ่งถ้าเป็นภาคขนส่งที่ต้องใช้รถวิ่งเยอะๆ จะยิ่งเห็นความแตกต่าง
ดังนั้นถ้าเป็นในเรื่องของการลงทุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้าจะถึงจุดคุ้มทุนเร็วกว่า
-การที่รัฐบาลขึ้นค่าไฟฟ้าจะมีผลต่อต้นทุนค่าพลังงานเยอะไหม
รัฐบาลขึ้นค่าไฟฟ้าประมาณ 20% จะมีผลทำให้เชื้อเพลิงไฟฟ้าสูงขึ้น 20% แต่ถือว่ายังห่างไกลจากราคาน้ำมัน
ราคาน้ำมันสูงกว่าไฟฟ้า 4 เท่า ก็คือ 400% ขึ้นมา 20% ถือว่าเล็กน้อยมาก
ถ้ามองในมุมของตัวอีวีนะ ถ้ามองในภาคการผลิต โอเคเขากระทบ เพราะค่าไฟเป็นต้นทุนในการผลิตหลาย
ๆ อย่าง
-ตอนนี้กระแสรถไฟฟ้ามาเต็มๆ รัฐบาลก็ส่งเสริม
เป็นบรรยากาศที่ดี ถ้ามองภาพใหญ่
รัฐบาลต้องแข็งขันแล้วว่าจะดึงฐานการผลิตต่างๆ มาที่ไทยอย่างไร
ต้องแข่งกับคู่แข่งประเทศต่างๆ ในอาเซียน อย่างอินโดฯ เขามีแผนในการดึง
ในการจีบค่ายใหญ่เข้าไปลงทุน ของไทยเราอาจจะมีอุปสรรค แต่ถ้าทำแผนส่งเสริมที่ดีย่อมสามารถดึงดูดนักลงทุนได้
บีโอไอสามารถออกมาตรการจูงใจนักลงทุนได้
พอดึงดูดฐานอีวีเข้ามาได้ก็จะทำให้เติบโตได้มากขึ้นอีก พออีวีเติบโตการใช้น้ำมันก็จะลดลง
การนำเข้าน้ำมันลดลง เศรษฐกิจจะมั่นคงขึ้น
-ไฟฟ้าที่ผลิตได้ในปัจจุบันจะเพียงพอรองรับตลาดอีวีที่ขยายตัวไหม จะไปแย่งไฟฟ้าใช้กับภาคธุรกิจ ภาคครัวเรือนไหม
ปัจจุบันอินฟรานสตรัคเจอร์ยังมี capacity
เหลือใช้ในประเทศอยู่พอสมควร การที่จะขยายสถานีต่างๆ ทางการไฟฟ้าฯ
มีการเก็บข้อมูลเพื่อประมวลผลว่าจะเติบโตเร็วแค่ไหน
ส่งผลต่อภาพรวมการใช้พลังงานแค่ไหน
-มีการพูดว่าถ้ามีการชาร์จไฟฟ้าแบบเร็วพร้อมๆกันอาจทำให้ไฟตก ไฟไม่พอใช้ในห้างหรือคอนโดฯหรือเปล่า
เพียงพอครับ เพราะจะเห็นว่าประเทศไทยไม่ค่อยเจอปัญหาไฟดับ
ไม่เหมือนประเทศอื่นๆ รอบๆ เรา
แสดงให้เห็นว่าภาครัฐมีการจัดการดีมานด์ซัพพลายของการใช้ไฟฟ้าได้ดี
ตรงนี้ไม่น่าเป็นห่วง ภาครัฐเก่งมากอยู่แล้ว โรงไฟฟ้าก็ยังเดินเครื่องไม่เต็มกำลังการผลิต
ยังสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้อีก ถ้าปริมาณการใช้ไฟยังเพิ่มขึ้นก็ยังมีพลังงานทางเลือกอื่น
ที่ภาครัฐวางมาเสริมให้รองรับการใช้พลังงานได้
-รูปแบบการให้บริการของ Evolt Technology ในปัจจุบัน นอกจากมุ่งหาพันธมิตรแล้ว
มีการให้บริการรูปแบบ อื่นอีกหรือไม่
รูปแบบการให้บริการของอีโวลท์จะมุ่งหาพันธมิตร
มุ่งให้บริการสถานีชาร์จอย่างเต็มที่ เราโฟกัสในเรื่องของการหาพันธมิตรในการลงทุน
หาพันธมิตรในการขยายธุรกิจตรงนี้ เพื่อจะทำให้ตลาดรถไฟฟ้าแข็งแรง เราตั้งเป้าทำเบื้องหลัง
ทำด้านอินฟราสตรัคเจอร์ ไม่ได้ไปทำธุรกิจเกี่ยวกับตัวรถยนต์
เน้นทำอินฟราสตรัคเจอร์ของ EV ให้แข็งแรง
สร้างความมั่นใจให้คนหันมาใช้รถไฟฟ้ามากขึ้น
-การหาพันธมิตรมีขั้นตอนอย่างไร หรือหากมีใครสนใจจะลงทุนทำสถานีชาร์จต้องทำอย่างไร
กลยุทธ์ในการขยายสถานีชาร์จ เรามีดาต้าอยู่แล้ว
ตอนนี้มีข้อมูลอยู่ประมาณ 300 สถานี จะดูว่ากลุ่มไหนมีการใช้งาน
แล้ววางแผนเข้าไปแอพโพรสกลุ่มนั้น ในการขยายสถานี รวมถึงการสร้างพันธมิตรต่าง ๆ
นอกจากสร้างพันธมิตรโดยการขยายสถานี เรายังมุ่งสร้างพันธมิตรโดยการขยายฐานลูกค้า
ด้วยการสร้างประโยชน์ให้กับลูกค้า อย่างเช่นเรื่องของโปรโมชั่นต่างๆ
-สมมติว่ามีคนสนใจทำธุรกิจนี้ มีทำเลอยู่ สามารถเข้ามาคุยเลยได้ไหม
แอพโพรสเข้ามาได้เลยครับ เราเองเปิดกว้างให้เข้ามาคุย ว่าทำเลมีศักยภาพขนาดไหนในการลงทุน
เราก็จะประเมินเบื้องต้นให้ จริงๆ เรามี criteria
ในการลงทุนอยู่แล้ว มีขั้นตอนคือพอคุยกับเจ้าของพื้นที่แล้ว
ก็ประเมินแล้วคุยกับคณะกรรมการดู criteria ต่างๆ มีความเหมาะสมกับการลงทุน
ลงทุนไปแล้วคุ้มทุนหรือไม่ จากนั้นจึงค่อยอนุมัติการลงทุน
-หลักการเบื้องต้นในการสร้างสถานีชาร์จดูจุดไหนบ้าง
ต้องดูโลเคชั่น ทราฟฟิค ดูพื้นที่ว่าเป็นรูปแบบไหน เช่น ห้าง คอนโด
โรงแรม ออฟฟิศ และทราฟฟิกจำนวนรถไฟฟ้าว่ามีมากน้อยแค่ไหน
เข้าไปทำร่วมกันแล้วธุรกิจต้องไปได้
-ต้องใช้เงินลงทุนเยอะมั้ย
การลงทุนมี 2
รูปแบบ คือ Normal
Charge กับ Quick Charge ส่วนของ Normal Charge
ลงทุน 1-2 แสนบาทต่อหัวจ่าย Quick
Charge ใช้เงินลงทุน 1
ล้านบาทต่อหัวจ่าย
-ตอนนี้มีคนสนใจเข้ามาลงทุนมากน้อยแค่ไหน
มีติดต่อเข้ามาเยอะมาก เป็นกลุ่มธุรกิจ อย่างเช่นร้านอาหาร คอนโด
มันเป็นเทรนด์อยู่แล้วว่ารถไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้น
เขาก็จะมีการเตรียมพร้อมล่วงหน้าเพื่อดึงดูดลูกค้า การที่มีสถานีชาร์จมีข้อดีคือสามารถดึงดูดกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น
และเป็นจุดขายจุดหนึ่ง
-ในแง่ความคุ้มทุนจะคืนทุนประมาณเมื่อไหร่
จุดคุ้มทุนขึ้นอยู่กับทราฟฟิค และอัตราการใช้งาน
เราเองมองว่าปัจจุบันด้วยจำนวนรถ ด้วย behaviour ต่างๆ จะคุ้มทุนภายใน
5-7 ปี
-สมมติตกลงกันแล้ว ขั้นตอนในการสร้างสถานีชาร์จนานไหม ตั้งแต่เข้าไปประเมินจนถึงสร้างเสร็จ
เรามีการประเมิน มีเข้าไปเซอร์เวย์หน้างาน มีการติดตั้ง สั่งของ
ใช้เวลาประมาณ 2 เดือน
-ยิ่งมีประสบการณ์ก็จะยิ่งสร้างได้เร็ว
ตอนนี้งานมีการขยายตัวเยอะ แต่เรามีสต็อก ทำให้สามารถติดตั้งและขยายสถานีได้เร็ว
ตอนนี้เราเอง ทำงานติดตั้งหลังบ้านให้กับหลายๆ ค่าย
ทำให้มีทีมงานที่พร้อมรองรับการขยายได้เร็ว และมีการให้บริการหลังการขาย
-ตัวหัวชาร์จทำของแบรนด์ไหนบ้าง หรือแล้วแค่ลูกค้าจะระบุมา
เรามีแบรนด์ที่เป็นพาร์ทเนอร์ และเป็นดีลเลอร์ มีซัพพลายเออร์หลัก ๆ
อยู่แล้ว มีหลายเรนจ์อยู่เหมือนกัน
มีตั้งแต่โฮมชาร์จเจอร์ไปจนกระทั่งดีซีฟาสต์ชาร์จ
ตัวอุปกรณ์หรือฮาร์ดแวร์เราไม่ได้ทำในชื่ออีโวลท์อย่างเดียว เช่น เราเป็นพาร์ทเนอร์กับเดลต้า
อิเล็กทอร์นิกส์ เป็นดีลเลอร์ให้เขา มีแบรนด์เพาเวอร์คอลล์ของจีน
ซัพพลายให้กลุ่มสถานีบริการน้ำมัน แต่ละแบรนด์ขึ้นอยู่กับงบประมาณ สเปค
ที่พันธมิตรวางไว้
-ตอนนี้มีความต้องการสถานีชาร์จประเภทไหนมากกว่ากัน
มองว่าตอนนี้ความต้องการไม่แตกต่างกัน Normal Charge (AC) มีความต้องการติดตั้งตามบ้าน
และในต่างจังหวัด แต่ Quick Charge (DC) ติดตั้งตามสถานีบริการน้ำมัน ไฮเวย์ หรือศูนย์การค้า
ตามเป้าหมายของทางภาครัฐ หรือเอกชน อย่าง PEA EGAT หรือ OR เขามีเป้าหมายจำนวนสถานีค่อนข้างชัดเจน และสร้างเป็นจำนวนมากในระยะเวลาอันใกล้
ฉะนั้นดีมานด์ของตัว DC ค่อนข้างสูง
-อีโวลท์ทำร่วมกับหน่วยงานเหล่านี้
เราเป็นซัพพลายเออร์ให้ เนื่องจาก EV
เป็นวาระแห่งชาติ เป็นโอกาสของทั้งประเทศ
ภาครัฐต้องสนับสนุนให้เกิดการลงทุนอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ
หรือเอกชนมาลงทุนเอง ฉะนั้นเราจะเห็นว่ามีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้ามาธุรกิจนี้เยอะ
ดังนั้นต้องวิ่งตามน้ำไป ขายสินค้าตามธุรกิจที่เติบโต
-คู่แข่งของอีโวลต์เป็นใครบ้าง
พอเราทำธุรกิจแบบ Full
Range ทำให้มีคู่แข่งต่างๆ อยู่ในแต่ละขา ในแต่ละแอเรียอยู่แล้ว
แต่ไม่อยากให้มองว่าเป็นคู่แข่ง เพราะตลาดในปัจจุบันยังเติบโตได้อีกมาก
การมีคนเข้ามาทำธุรกิจนี้มาก ย่อมทำให้ฐานใหญ่ขึ้น
คนที่มาทำธุรกิจคล้ายกันในช่วงสองปีที่ผ่านมา
มีผู้เล่นรายใหม่เข้ามาค่อนข้างเยอะมาก ถ้าเราฟังข่าวจะได้ยินคำว่าอีวีทุกวัน
ไม่มีวันไหนไม่ได้ยินคำว่าอีวี ทุกคนก็มองว่าเป็นโอกาส ก็วิ่งเข้ามา
อยู่ที่ว่าแต่ละคนที่วิ่งเข้ามานี่จะมาเติมเต็ม มาช่วยกันสร้าง Eco systemของรถไฟฟ้าจุดไหน
บางคนผลิตรถ ผลิตมอเตอร์ไซค์ ทำสถานีชาร์จ ทำงานติดตั้ง
บางคนทำในเรื่องของการขายอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง ก็จะมีผู้เล่นเข้ามาค่อนข้างเยอะ
มองว่าการเข้ามา เป็นการเข้ามาเสริมทำให้ตลาดเติบโตได้เร็วขึ้น
-ตอนนี้ในกลุ่มสถานีชาร์จด้วยกัน มีการแข่งขันในด้านราคาไหม
ไม่มีการแข่งขันตัดราคา เพราะแต่ละเจ้ามีฐานราคาของเขาเองอยู่แล้ว
ไม่ได้มีการปรับลด หรือปรับเพิ่ม ไม่ได้แข่งเดือด
-เป็นเพราะตลาดอีวียังขยายตัวสูง
แต่ละคนจะแข่งขันในเชิงแยก strategy location เชิงการขยายตัว แข่งกันขยายมากกว่า ในเชิงความร่วมมือก็มี เช่นRoaming ของ Charging
Consortium โอปะเรชั่นหลักๆ
จับมือกันเพื่อที่จะสามารถแชร์ข้อมูลของสถานีชาร์จข้ามผ่านแพล็ตฟอร์มได้
-แตกต่างจากธุรกิจอื่นที่ห้ำหั่นกัน
แต่อันนี้จับมือกัน
จับมือกันเพื่อที่จะต่างคนต่างไปขยายออก ถ้าไม่จับมือกัน พอลูกค้าไม่อยากใช้
การสร้างรีเทิร์นในสถานีจะค่อนข้างยาก
-การชาร์จถ้าเทียบกับเติมน้ำมันใช้เวลามากกว่า
เป็นอุปสรรคกับธุรกิจนี้มากน้อยแค่ไหน
เป็นอุปสรรคที่ชัดเจนที่สุดในปัจจุบัน เพราะใช้เวลาเติมนานกว่า
สมมติชาร์จตามปั๊มต้องใช้เวลา 20 นาที ถึงครึ่งชั่วโมง ไม่เหมือนน้ำมันใช้เวลาแค่
5-10 นาที การใช้เวลามากกว่าเท่าตัวเป็นอุปสรรค
แต่ว่าด้วยเทคโนโลยีสามารถทำให้เติมได้เร็วขึ้น ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีเครื่องชาร์จ
เทคโนโลยีตัวรถยนต์เองก็ตาม ต้องพัฒนาขึ้นมารองรับ
ถึงแม้ปัจจุบันเทคโนโลยีเครื่องชาร์จจะพัฒนาไปไกล หากรถยนต์ยังไม่รองรับก็ไม่ได้
คือมีปัจจัยในเรื่องราคาของเทคโนโลยี รถยนต์ในแต่ละรุ่น ในแต่ละเซ็กเมนท์
ถูกออกแบบมาให้ชาร์จได้เร็วแค่ไหน ถ้าคุณจะชาร์จเยอะมาก ๆ ต้องมีอุปกรณ์อะไรต่างๆ
ที่ไฮเทคมากๆ ทำให้ต้นทุนสูง ดังนั้นแต่ละเซ็กเมนท์ตอบโจทย์การใช้งานแต่ละกลุ่มไป
กลุ่มวิ่งในเมือง วิ่งข้ามเมือง ถ้าเป็นในเมืองก็ชาร์จเร็วหน่อย
-มีโอกาสที่จะขยับเวลาชาร์จให้เร็วขึ้นไหม
มีครับ ในอนาคตจะมีเครื่องชาร์จที่มีกำลังไฟที่สูงขึ้น
ชาร์จได้เร็วขึ้นแน่นอนอยู่แล้ว การลงทุนย่อมสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ต้องรอเวลา
เหมือนโซลาร์เซลล์ เมื่อก่อนราคาสูง ตอนนี้ราคาค่อยๆลดลงตามเทคโนโลยีที่กระจายตัวออกไป
และราคาเป็นไปตามวอลุ่มความต้องการ
-เวลาชาร์จเร็วจะมีผลต่อแบตฯเสื่อมไหม
โดยเทคนิคอลนี่ ไม่ควรใช้ตัวฟาสต์ชาร์จบ่อยนัก ไม่ควรให้เกินกว่า 20%
ของการชาร์จทั้งหมด
การชาร์จที่ดีที่สุด ควรกลับบ้านไปชาร์จเติมไฟฟ้าทุกวันๆ ให้มันเอ็กเซอร์ไซส์แบตไป
เหมือนการชาร์จมือถือ ชาร์จเร็วควรจะชาร์จเฉพาะการเดินทางที่จำเป็น เวลาต้องเดินทางระยะไกล
เพื่อถนอมแบตฯไว้ใช้ได้นาน
-พวกสถานีสลับแบตจะเข้ามาช่วยตรงนี้ได้บ้างไหม
มองว่าสถานีสลับแบตยังไม่ตอบโจทย์แพสเซนเจอร์คาร์ เนื่องจากแบตฯที่ใช้ในรถยนต์ไฟฟ้ามีขนาดค่อนข้างใหญ่
น้ำหนักค่อนข้างเยอะ การสลับแบตค่อนข้างใช้ความซับซ้อน
ใช้องค์ประกอบต่างๆมาช่วยเยอะ จะเหมาะสำหรับมอเตอร์ไซค์หรือรถขนาดเล็กมากกว่า
รถแพสเซนเจอร์คาร์ขนาดเล็กอย่างตุ๊กๆ อาจจะเป็นไปได้ แต่ต้องมีตัววอลุ่ม
มีสถานีสลับแบตให้มากพอ
-ปัจจุบันสถานี supercharger ของเทสลาถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่เหนือกว่าเจ้าอื่น
ที่ศึกษามา เทคโนโลยีเทสลาดีตรงที่เขาควบคุมตัว User Experience และเทคโนโลยีทั้งหมดใน Close Loop ทำให้สามารถส่งข้อมูลถึงกันได้หมดในเรื่องของสถานีชาร์จ
และการใช้งานรถยนต์ สามารถเอาไปวิเคราะห์ได้ว่า รถคุณแบตเตอรีต่ำถึงเท่าไหร่
ควรจะวิ่งไปชาร์จจุดไหน สมมติเป็นเติร์ดปาร์ตี้ อาจจะทำแบบนี้ไม่ได้
เพราะมันแยกกันอยู่ พอเอาข้อมูลมารวมกัน ข้อดีคือทำให้เวลาชาร์จสั้นที่สุด
การหยุดชาร์จน้อยที่สุด แบตเตอรีมีการใช้งานเต็มประสิทธิภาพที่สุด
ข้อมูลพวกนี้เอไอเอาไปวิเคราะห์ออกมาเป็น Output ออกมาเลยว่ารถคุณควรจะวิ่งไปไหน
จะวิ่งไปชาร์จที่ไหน
-นอกจากวิเคราะห์การใช้งานแล้ว ระบบ Close Loop
ยังช่วยประมวลผลด้านใดอีกบ้าง
ถ้าพูดถึงแบตเตอรี่จาก 0-100 รถคุณชาร์จที่ 50 ความเร็วการชาร์จต่างกัน
อย่างที่ 20 ความเร็วการชาร์จเร็วกว่าชาร์จที่ 50 ตัวชาร์จจะเป็นเคลิฟ
เป็นช่วงขึ้นเคลิฟ เทสลาจะ Optimiz เลยว่าชาร์จที่แบตเตอรี่เท่าไหร่ กี่นาที
ถึงเร็วที่สุดใช้เวลาน้อยที่สุด นี่คือข้อดีของเทสลา
ตัวเทคโนโลยีรถไฟฟ้าไม่ได้แตกต่าง แต่เทคโนโลยีในเรื่องของดาต้า
ในเรื่องของการทำเอไอ ในเรื่องของการวิเคราะห์ข้อมูลของเขาแตกต่าง
เพราะมีข้อมูลที่ครบ โดยทำรองรับเฉพาะกลุ่มรถของเทสลาเอง
-รถเทสลาไปชาร์จของสถานีอื่นได้มั้ย
ใช้ได้หมด
ด้วยมาตรฐานอุตสาหกรรมถูกกำหนดให้ตัวหัวชาร์จเป็นแบบเดียวกันทั่วประเทศ
มาตรฐานหัวชาร์จมีทั้งหมด 3 มาตรฐาน มีของอเมริกา/ญี่ปุ่น ของยุโรป และจีน
เราใช้มาตรฐานยุโรป ฉะนั้นหัวชาร์จที่ยุโรปกับไทยจะเป็นแบบเดียวกัน
-เท่าที่ติดตามข่าว เห็นจะมีการกำหนดมาตรฐานหัวชาร์จ สถานีชาร์จ
ตลาดยานยนต์ไฟฟ้าที่เติบโตขึ้นมาในปัจจุบันจะมีคณะกรรมการกำหนดนโยบายรถไฟฟ้าแห่งชาติ
มีทั้งกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพลังงาน กระทรวงต่างๆ เข้ามาสนับสนุน
กระทรวงอุตสาหกรรมเข้ามาในส่วนของการกำหนดมาตรฐาน
กระทรวงพลังงานเข้ามาในส่วนของการวิเคราะห์ว่าพลังงานในประเทศมีความเพียงพอต่อการเติบโตของยานยนต์ไฟฟ้าใน
5-10 ปีข้างหน้าหรือเปล่า เขาต้องมีการทำเป็นแผนออกมา
-เป็นธุรกิจที่รัฐบาลหนุนเต็มที่
ผมเข้าใจบริบทในไทยนะ เราเป็นฐานการผลิตรถน้ำมันมายาวนาน
ถือว่าเป็นรายได้หลักของประเทศมายาวนาน การปรับเปลี่ยนต้องดูบริบท
ไม่ใช่ว่าปรับเปลี่ยนได้เร็วเหมือนนอร์เวย์ เขาไม่ได้เป็นฐานการผลิตรถยนต์
เขามีพลังงานสะอาดเยอะอยู่แล้ว สามารถปรับเปลี่ยนได้เหมือนพลิกฝ่ามือเลย
เราเองมีซัพพลายเชน มีอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับรถน้ำมันอยู่ค่อนข้างเยอะ
รัฐบาลต้องดูแลให้ค่อยๆ เกิดการเปลี่ยนผ่าน ไม่อย่างนั้นเสี่ยงที่จะทำให้เศรษฐกิจพัง
ถามว่าทำไมประเทศไทยรถไฟฟ้ามาช้ากว่าประเทศอื่น คิดว่ามีหลายปัจจัยที่เกี่ยวเนื่อง
ผมอยู่ในอุตสาหกรรมนี้ก็อยากให้มาเร็ว
แต่ต้องมองภาพใหญ่ของประเทศให้เติบโตไปด้วยกัน
-ตอนนี้มีรถอีวีประมาณกี่เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับรถน้ำมัน
สัดส่วนของรถไฟฟ้าในไทยยังต่ำมาก ไม่ถึง 1% ยังมีโอกาสเติบโตอีกเยอะ
ไม่ถึง 1% ก็จริง แต่ประมาณ 10% ของยอดขายรถในงานมอเตอร์เอ็กซ์โปปีที่ผ่านมาเป็นรถไฟฟ้า นับว่ามีทิศทางการขยายตัวที่ก้าวกระโดด
-ถ้าขยายตัวเต็มที่สัดส่วนที่เหมาะสมควรจะประมาณกี่เปอร์เซ็นต์ของตลาดรถยนต์ทั้งหมด
ถ้าดูจากตัวเลขที่ทางภาครัฐเขาประเมินว่าภายใน 2030 จะให้มียอดการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า
30% ยังมีโอกาสอีกเยอะ
-รถยนต์สันดาปภายในก็จะค่อยๆ หายไปจากท้องถนน
ค่อยๆ ลดลง คงไม่ได้หายไปในเร็ววัน ภายใน 10 ปีนี้จะค่อยๆ ลดสัดส่วนลง
รถไฟฟ้าจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น
-ที่ว่ายอดรถไฟฟ้าโตเร็ว สถานีชาร์จการเติบโตเป็นอย่างไร
เพิ่มขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
อีโวลท์เองเติบโตประมาณ 100% จากเดิมมี 150 หัวจ่าย ปีนี้มีประมาณ 300 หัวจ่าย
เติบโตเท่าตัว เป้าหมายปี 2566 เราจะทำให้ถึงประมาณ 600 หัวจ่าย
เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว สามารถเป็นไปได้
เรากำลังหางบประมาณมาลงทุน
-จำนวน 5,000 หัวจ่ายนี่จะทำได้เมื่อไหร่
ตั้งเป้าไว้ประมาณ 5 ปี
-ธุรกิจแบบเก่าใช้วิธีระดมทุน หาคนมาลงหุ้น
แต่อีโวลท์เป็นแบบสตาร์ทอัพ
ปัจจุบันเราทำฟันด์ เรสชิ่งไปแล้วหนึ่งรอบ
มีนักลงทุนไทยอย่างบ้านปูเข้ามาเพิ่มทุน ทำให้ธุรกิจเราต่อยอดได้ง่ายขึ้น เป็นการต่อยอดในเชิงของกลยุทธ์ที่สอดคล้องกัน
และต่อยอดในเชิงที่มีเม็ดเงินลงทุนเข้ามาให้ขยายธุรกิจไปได้
เป็นแบบค่อยๆเติบโตอย่างยั่งยืน ไม่ได้ใช้เงินก้อนใหญ่มากมายนัก
ค่อยๆระดมทุนมาทีละนิดทีละหน่อยให้สอดคล้องกับภาพธุรกิจที่อยากให้เติบโต
ที่ผ่านมาแต่ละปีเราก็เติบโตประมาณ 100%
ทุกปี
-การจับมือกับบ้านปู เป็นความร่วมมือด้านใดบ้าง
หลังจากบ้านปูเข้ามาลงทุนร่วมกันก็เกิดความร่วมมือทางธุรกิจหลายๆ
อย่างด้วยกัน เช่น บ้านปูเน้นโซลูชั่นพลังงานสะอาด พลังงานแบบใหม่ค่อนข้างเยอะ
ทำให้มีการไปลงทุนธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอีวีหลายๆ อย่าง
ที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาด เมื่อไปลงทุนเขาสามารถจูงมือเราไปร่วมด้าน
synergies ทำให้มีการลงทุนหลาย ๆ อย่าง
-บ้านปูเป็นบริษัทพลังงานขนาดใหญ่ มีทุนพร้อม มีอะไรพร้อม
บ้านปูเป็นบริษัทพลังงานชั้นนำ ที่ผ่านมาเน้นทำธุรกิจด้านถ่านหิน
พอมาในเจนเนอเรชั่นใหม่ คุณสินนท์ ว่องกุศลกิจ ซีอีโอของบ้านปู
ต้องการทำในเรื่องของพลังงานสะอาดมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโซลาร์ เอนเนอร์จี้สตอเรจ
หรืออีโมบิลิตี้อะไรพวกนี้ คือให้ความสำคัญเกี่ยวกับพลังงานสะอาดมากขึ้น
ต้องการทำให้ประเทศไทยก้าวสู่เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาด อีวีถือเป็นขาหนึ่ง
สมมติคนหันมาใช้รถไฟฟ้ามากขึ้น ถ้าจะให้เป็นพลังงานสะอาดได้
วัตถุดิบที่เอามาผลิตไฟฟ้าต้องมาจากพลังงานสะอาด ซึ่งน้ำมันไม่สามารถทำได้
เพราะเป็นเชื้อเพลิงประเภทฟอสซิล
เรื่องประกันภัย ไว้ใจเพื่อนคนนี้
อินชัวร์เฟรนด์โบรกเกอร์
Call : 063-636-5456 | 02-114-6464
Line ID: @insurefriend ( คลิก http://lineid.me/insurefriend )