Home new ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดยอดรถ EV ปี 68 พุ่ง 3 แสนคัน แนะควรมีจุดชาร์จ 1.9 หมื่นช่อง
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดยอดรถ EV ปี 68 พุ่ง 3 แสนคัน แนะควรมีจุดชาร์จ 1.9 หมื่นช่อง
PongPang 4.1.66 0
การพัฒนา Ecosystem อย่างจุดชาร์จไฟฟ้าในที่สาธารณะจึงเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วน
หากเทียบเคียงกับต่างประเทศ จำนวนจุดชาร์จไฟสาธารณะทั่วประเทศควรมีสะสมไม่น้อยกว่า
19,000 ช่องจอด แบ่งเป็น ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลไม่ต่ำกว่า
14,000 ช่องจอด เพื่อรองรับปริมาณรถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้น
แม้คาดว่าจำนวนจุดชาร์จไฟสาธารณะมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น
แต่ความท้าทายด้านการลงทุนในเรื่องการเลือกพื้นที่ติดตั้งที่คุ้มค่า โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ
ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าเมื่อถึงปี 2568 จำนวนช่องจอดชาร์จไฟสาธารณะอาจจะยังต่ำกว่า
19,000 ช่องจอด
ตลาดรถยนต์ EVs แบบเสียบปลั๊กชาร์จไฟได้ในไทยกำลังเติบโตก้าวกระโดด
ปี 2565 นี้ ตลาดรถยนต์ในไทยมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากจากรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์สันดาปภายในสู่ตลาดรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรี่และมอเตอร์
จากผลของราคาน้ำมันที่สูงขึ้น และมาตรการส่งเสริมตลาดรถยนต์ BEV ของภาครัฐที่ออกมาได้ถูกจุด
ส่งผลให้ตัวเลขจดทะเบียนรถยนต์ EVs แบบเสียบปลั๊กชาร์จไฟได้อย่างรถยนต์ PHEV และ BEV
เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่ายอดขายรถยนต์ PHEV ปี 2565
อาจปิดตัวเลขที่ประมาณ
12,000 คัน ขณะที่รถยนต์ BEV ถ้าหากสามารถส่งมอบได้ตามแผนก็อาจพุ่งขึ้นสูงกว่า
12,000 คัน ทำให้มีโอกาสที่จำนวนรถยนต์ EVs แบบเสียบปล๊ักชาร์จไฟในประเทศจะมีสะสมราว
60,000 คัน
หากโครงการกระตุ้นการซื้อรถยนต์ BEV ด้วยการให้เงินอุดหนุนและการลดภาษีสรรพสามิตของรัฐยังดำเนินต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปี
2568 คาดว่าจะมีการเร่งซื้อรถยนต์ BEV เพิ่มขึ้น และมีผลทำให้จำนวนรถยนต์ไฟฟ้าได้มีโอกาสเพิ่มขึ้นจนมียอดสะสมแตะระดับ
300,000 คันในปี 2568 ด้วยสัดส่วนของรถยนต์ PHEV ต่อรถยนต์ BEV
ที่
40 : 60
จากสัญญาณการเร่งตัวขึ้นอย่างรวดเร็วของตลาดรถยนต์ EVs แบบเสียบปลั๊กได้ในประเทศ
ส่งผลให้ไทยจำเป็นต้องมีการพัฒนาในเรื่อง Ecosystem สำคัญที่จะทำให้ผู้ใช้รถยนต์กลุ่มนี้มีจุดชาร์จในที่สาธารณะมากเพียงพออย่างเร่งด่วน
เพราะปัจจุบันเรื่องนี้ยังเป็นปัญหาคอขวดสำหรับการผลักดันตลาดรถยนต์ EVs แบบเสียบปลั๊กชาร์จ
โดยเฉพาะรถ BEV
ยกตัวอย่างในต่างประเทศที่ตลาดรถยนต์ EVs ที่มีการเติบโตมาก่อนไทยนั้น
พบว่า ในเมืองที่มีความหนาแน่นของประชากรสูงจะยิ่งมีความต้องการช่องจอดเพื่อชาร์จไฟสูง
เช่น เซี่ยงไฮ้ และ ลอนดอน เป็นต้น เพราะคนส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ในตึกสูงจึงติด
Wall Charger ส่วนตัวได้ยาก นอกจากนี้
ในเมืองเหล่านี้ยังมีการพัฒนาใช้บริการรถขนส่งบุคคลหรือสินค้าที่เป็น BEV มากขึ้นเรื่อยๆ
โดยยิ่งมีสัดส่วนรถยนต์ BEV สูงก็ยิ่งต้องการช่องจอดเพื่อชาร์จไฟมากขึ้นเท่านั้น
ตรงข้ามกับเมืองที่มีความหนาแน่นของประชากรต่ำ เช่น
พื้นที่นอกเมืองลอนดอนในสหราชอาณาจักรหรือในเมืองใหญ่ของสหรัฐฯ
พบว่าความต้องการจุดชาร์จในที่สาธารณะต่ำกว่ามาก อาจเป็นเพราะส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในบ้านส่วนตัวจึงติดตั้ง
Wall Charger ได้ง่าย ทำให้ไม่ต้องชาร์จไฟนอกบ้านบ่อย
แม้ว่าช่องจอดชาร์จในไทยควรมีไม่ต่ำกว่า 19,000 ช่องเพื่อรองรับปริมาณรถยนต์เสียบปลั๊ก แต่การทำได้จริงนั้นไม่ง่าย
จากการรวบรวมข้อมูลเบื้องต้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าในปี 2565
นี้
น่าจะมีช่องจอดรถยนต์สำหรับชาร์จไฟทั่วประเทศอยู่ที่ราว 4,000 ช่องจอด
และถ้าหากพิจารณาเทียบเคียงกับตัวอย่างในต่างประเทศ โดยมองเฉพาะเรื่องความหนาแน่นประชากรกับปริมาณและประเภทรถที่มีของไทยมาคำนวณแล้ว จำนวนช่องจอดรถสำหรับชาร์จไฟฟ้าตามจุดชาร์จในที่สาธารณะที่เหมาะสมทั่วประเทศในปี
2568 อาจควรต้องมีสะสมไม่น้อยกว่า 19,000 ช่องจอด จึงจะเพียงพอต่อปริมาณรถยนต์ EVs แบบเสียบปลั๊กสะสมที่อาจพุ่งขึ้น แตะระดับ 300,000
คัน
ซึ่งในจำนวนนี้คาดว่าจะเป็นกลุ่มลูกค้าหลัก คือ รถยนต์ BEV กว่า 180,000
คัน
โดย อยู่ในตลาดกรุงเทพฯและปริมณฑลราว 122,000 คัน
และในต่างจังหวัดอีกราว 58,000 คัน
เรื่องประกันภัย ไว้ใจเพื่อนคนนี้
อินชัวร์เฟรนด์โบรกเกอร์
Call : 063-636-5456 | 02-114-6464
Line ID: @insurefriend ( คลิก http://lineid.me/insurefriend )